วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ปัญหาการทำแท้ง



การทำแท้ง
ความหมายของการแท้ง
          การแท้ง  หมายถึงการสิ้นสุดของการตั้งครรภ์ก่อนที่เด็กจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้นอกครรภ์มารดาเท่าที่องค์การอนามัยโลกใช้กันมาแต่เดิม ถือเอาการสิ้นสุดของการตั้งครรภ์ก่อนอายุครรภ์ ๒๘ สัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เด็กยังหนักไม่ถึง ๑,๐๐๐ กรัม
          ในระยะหลังนี้ประเทศที่พัฒนาแล้วมีความก้าวหน้าทางการแพทย์มาก จนสามารถจะเลี้ยงดูเด็กที่น้ำหนักแรกคลอดต่ำกว่า ๑,๐๐๐ กรัม ให้รอดชีวิตได้เป็นส่วนใหญ่ ประเทศเหล่านั้นจึงเปลี่ยนนิยามของการแท้งใหม่ โดยถือว่าการแท้งเป็นการสิ้นสุดของการตั้งครรภ์เมื่ออายุครรภ์ต่ำกว่า ๒๐ สัปดาห์ หรือเมื่อเด็กมีน้ำหนักต่ำกว่า ๕๐๐ กรัม สำหรับในประเทศไทยยังไม่ก้าวหน้าถึงเพียงนั้น จึงพากันใช้คำนิยามเดิมไปก่อน

          การแท้งอาจแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ ๒ กลุ่ม  คือ
          ๑. การแท้งเอง หมายถึงการแท้งที่เกิดจากสาเหตุต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำที่จงใจจะให้เกิดการแท้ง ถือเป็นความล้มเหลวของการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ สาเหตุของการแท้งเองอาจจะเกิดได้จาก
               ก. ความบกพร่องของไข่ที่ผสมแล้ว หรือตัวอ่อน พวกนี้จะแท้งตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ใหม่ๆไปจนถึงอายุครรภ์ไม่เกิน ๑๒ สัปดาห์
               ข. ความบกพร่องทางด้านมารดา เช่น มดลูกพิการ   ปากมดลูกปิดไม่ดี   โรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคไต โรคเลือด การแท้งจากสาเหตุนี้จะเกิดขึ้นเมื่ออายุครรภ์มากเกิน ๑๒ สัปดาห์ขึ้นไป
          จากการสำรวจผู้ป่วยแท้งเอง แพทย์ยังไม่พบสาเหตุชัดเจน สำหรับตัวผู้ป่วยเองนั้น มักจะคิดว่าการกระทบกระเทือนเป็นสาเหตุของการแท้ง
          ๒. การทำแท้ง หมายถึง กระทำเพื่อให้เกิดการแท้ง แบ่งเป็น
               ก. การทำแท้งเพื่อการรักษา หมายถึง การทำแท้งในกรณีที่กฎหมายอนุญาตให้ทำได้ กฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่า แพทย์สามารถจะทำแท้งได้ในกรณีต่อไปนี้
               (๑) เมื่อพิจารณาเห็นว่าหากปล่อยให้การตั้งครรภ์ดำเนินต่อไปจะเป็นอันตรายร้ายแรงต่อชีวิตสุขภาพของมารดา เช่น ผู้ป่วยโรคมะเร็ง โรคเลือด โรคไตบางชนิด
               (๒)  มารดาที่เป็นโรคจิตอยู่ก่อนการตั้งครรภ์ หรือเป็นโรคจิตขณะตั้งครรภ์
               (๓) การตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นจากการข่มขืนกระทำชำเราในผู้เยาว์ต่ำกว่า ๑๕ ปี  โดยทั่วไป แพทย์จะเป็นผู้ตัดสินว่ารายใดควรจะทำแท้งให้ แม้ว่าจะมีเหตุผลถูกต้องตามกฎหมายแพทย์ก็ยังจะต้องพิจารณาดูถึงผลได้และผลเสียของการทำแท้งในแต่ละรายด้วย อาทิเช่น เด็กอายุ ๑๓ ขวบถูกข่มขืนจนตั้งครรภ์ ถึงแม้จะมีหลักฐานชัดเจน แต่ได้ปล่อยปละละเลยทิ้งไว้จนอายุครรภ์ ๖ เดือน กรณีนี้การทำแท้งก่อให้เกิดอันตรายมากกว่าการปล่อยให้ตั้งครรภ์ต่อไป
          อาจจะเป็นเพราะกฎหมายการทำแท้งค่อนข้างเก่า  หรือเพราะความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการแพทย์ค่อนข้างรวดเร็ว จนสามารถจะให้การวินิจฉัยความพิการบางชนิดของเด็กในท้องได้ แพทย์จึงทำแท้งให้ในกรณีของเด็กพิการ ซึ่งบางรายยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าจะพิการหรือไม่ เช่น กรณีของมารดาติดเชื้อหัดเยอรมัน เพียงขณะตั้งครรภ์อ่อนๆ โอกาสที่เด็กในท้องจะมีความพิการของหัวใจ หูหนวก ตาเป็นต้อ  และสมองพิการในอัตราค่อนข้างสูง  มารดามีความวิตกกังวลว่าเด็กที่ออกมาจะพิการ เป็นอันตรายต่อสุขภาพจิตของมารดา และถ้าเด็กออกมามีความพิการจริงก็จะเป็นภาระแก่ครอบครัว สังคม และประเทศชาติต่อไป

          ตารางแสดงเหตุผลในการลอบทำแท้งของสตรีที่แต่งงานแล้ว (พ.ศ. ๒๕๑๑-๒๕๒๑)
เหตุผลในการทำแท้ง
% ของสตรีทั้งหมด (๒,๘๓๐)
  มีบุตรเพียงพอแล้ว
  ตั้งครรภ์ถี่เกินไป
  รายได้ไม่พอ
  ครอบครัวแตกแยก
  การตั้งครรภ์ขัดต่องานอาชีพ
  ไม่มีคนเลี้ยงดูบุตรขณะไปทำงาน
  เคยคลอดยากมาก
  เหตุผลอื่น ๆ
  ไม่ทราบเหตุผล
๒๐.๑
๑๘.๑
๒๔.๗
๑๕.๗
๖.๑
๐.๗
๓.๖
๗.๓
๓.๗
                                       

          ในเรื่องของโรคจิตนั้น  จิตแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาชี้ขาดว่าควรทำแท้งหรือไม่ ทั้งนี้ก็เพื่อขจัดปัญหาเกี่ยวกับการเป็นโรคจิตจริงหรือโรคจิตปลอมออกไป
               ข. การทำแท้งผิดกฎหมาย หมายถึงการลักลอบทำแท้งโดยบุคคลที่มิใช่แพทย์ ไม่ว่าจะทำโดยเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น รวมทั้งการทำแท้งโดยแพทย์ที่ทำนอกเหนือข้อบ่งชี้ที่กฎหมายระบุไว้ เนื่องจากผู้ประกอบการทำแท้งส่วนมากมิใช่แพทย์  และทำแท้งโดยไม่ถูกหลักวิชา   การทำแท้งผิดกฎหมายจึงมักมีอาการแทรกซ้อน และมีอันตรายมากกว่าแท้งเอง หรือแท้งเพื่อการรักษา
วิธีทำแท้งที่ใช้กันในสมัยนี้ตามสถานที่ทำแท้งเถื่อนมีหลายวิธี

1. ใส่อุปกรณ์หรือฉีดสารเข้าทางช่องคลอด
2. เหน็บยา
3. กินยา
4. เหยียบเตะต่อย(อันนี้ที่จริงมักทำกันเองที่บ้าน)

เครื่องมือทำแท้ง 
1. ใส่อุปกรณ์หรือฉีดสารเข้าทางช่องคลอด
เป็นวิธียอดนิยมที่ทำกันมานาน และก็เป็นวิธีที่ " เลียนแบบ " แพทย์ตัวจริงมาใช้ " ขูดมดลูก " อุปกรณ์ที่ใช้คือตัวขูดเนื้อยาวราวๆฟุตนึง ตรงกลางเป็นก้าน ตรงปลายจะมีลักษณะคล้ายที่ขูดมะพร้าว

วิธีทำคือเมื่อผู้หญิงมาถึง นั่งบนขาหยั่ง ผู้ทำแท้งจะเปิดแหวกช่องคลอดด้วยเครื่องถ่าง แล้วใช้เครื่องมือจิกปากมดลูกไว้ จากนั้นเอาที่ขูด แหย่เข้าไปขูดในมดลูก ถ้าคนทำแท้งมีความรับผิดชอบต่อค่าจ้างที่ได้ เขาจะขูดตัวอ่อนออกมา แล้วก็ขูดเนื้อในมดลูกไปด้วย ถ้าไม่รับผิดชอบ ก็ขูดแค่พอเห็นเนื้อๆแล้วก็พอให้กลับได้ ระหว่างที่ทำอาจเจ็บได้บ้าง ขึ้นกับราคาที่จ่ายไป ถ้ามากหน่อยอาจมียาแก้ปวดอย่างแรงให้กิน (ซึ่งก็เลยเห็นเป็นภาพชินตาที่พอตำรวจบุกแล้วพวกเธอมักหนีไม่ทันกัน) แต่บางแห่งก็ให้แค่ยาแก้ปวดธรรมดามากินก่อนขูดมดลูก เพราะว่าเวลาขูดก็เอาแค่ขูดน้อยๆ

ปัญหาที่ตามมาคือ
1.1 เนื้อในมดลูกที่เหลือ...

เพราะว่าร่างกายคนเราที่เตรียมจะมีเด็ก จะมีการขยายของพื้นที่ในมดลูกโดยเพิ่มเส้นเลือดมากๆ และมีที่ให้เด็กมาเกาะมากๆ ทีนี้พอไม่มีเด็กเพราะโดนขูดไปแล้ว เนื้อพวกนี้ก็จะพยายามหลุดลอกตัวออก แต่ฤทธิ์ฮอร์โมนที่ยังมีอยู่ อาจทำให้หลุดไม่ดี

คนที่โชคดี ก็จะมีเลือดออกมาสักสัปดาห์ -2สัปดาห์ กินยาสตรีต่างๆแล้วก็ขับน้ำคาวปลาออกไปได้พร้อมเนื้อรกเนื้อมดลูก คนที่โชคไม่ดี เนื้อเหล่านี้ไม่หลุดออก ก็จะมีเลือดไหลออกมาเรื่อยๆไม่หยุด บางคนไหลเป็นเดือนๆกว่าจะมาหาหมอ บางคนไหลจนตาย (ที่จริงคงมีการทะลุมดลูกร่วม)

1.2 ติดเชื้อ ตรงไปตรงมา เครื่องมือและคนทำห่วยแตก
มดลูกทะลุ .... เพราะในการขูดมดลูกที่ถูกต้อง ต้องมีการวัดขนาดและตรวจดูรูปร่างของมดลูกว่าหันไปทางทิศใดก่อนขูดเนื่องจากการขูดเป็นการทำโดยไม่เห็นด้วยตา แต่อย่าไปหวังอะไรกับคนทำแท้งเถื่อนเลย ส่วนใหญ่มักขูดไปเลย และมีไม่น้อยที่ทะลุ โชคดีก็ปิดได้เอง โชคร้ายเผลอๆติดเชื้อในท้องแบบเวลาไส้ติ่งแตกหรือกระเพาะทะลุก็มี ที่ร้ายไปกว่านั้น บางคนที่ผมเคยเจอการทะลุจากมดลูกเข้าช่องท้องต่อไปยังลำไส้ใหญ่... เมื่อหายแล้วก็กลายเป็นว่ามีช่องทางใหม่ ทำให้อุจจาระไหลออกมาทางช่องคลอดได้ (ซึ่งผ่าซ่อมยาก)


1.3 ขูดมั่วไม่โดนเด็ก
เลือดออกแป๊บเดียวก็หยุด แต่ที่ไหนได้ท้องโตจนคลอดออกมาเป็นตัว

1.4 สุดท้ายก็ต้องไปหาหมอ(ตัวจริง)
เท่าที่เคยเจอมา ที่ทำแท้งเถื่อนห่วยๆบางที่ใช้วิธีขูดมั่วซั่ว พอเป็นพิธีแล้วบอกว่าถ้าเลือดไม่หยุดให้ไปหาหมอ.. ส่วนใหญ่มันแค่เอาเครื่องมือสอดแล้วขูดครั้งสองครั้ง เอาเนื้อชิ้นโตๆมาชิ้นเดียวแล้วปล่อยภาระให้เป็นของแพทย์ตัวจริงส่วนใหญ่มักจะมีอาการมาด้วยเรื่องเลือดไหลออกทางช่องคลอด พร้อมกับเรื่องเล่าแปลกๆ ถ้าเป็นสิบปีก่อน ก็จะเล่าว่าเดินข้ามท้องร่องแล้วลื่นไม้กระดานฟาดกลางหว่างขา เดี๋ยวนี้ก็เป็นล้มในห้องน้ำ ขับรถเครื่องแล้วเบรกแรงๆ ตกบันได

หยุดการไปทำแท้ง  เพื่อให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ปลอดภัยทั้งตัวคุณเองและคนที่ให้การรักษา เคยมีกรณีที่เด็กบอกว่าหกล้มในห้องน้ำแล้วเลือดออก แม่ก็ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงเห็นกับตา แต่ว่าไปๆมาๆเกิดปวดท้องไข้สูง และก็ติดเชื้อในช่องท้องจากการที่มดลูกทะลุและมีการติดเชื้อ.....

ซึ่งการติดเชื้อระดับนี้ ถ้ารู้ว่าไปทำแท้งมาและเลือดออกไม่หยุด ส่วนมากก็จะขูดต่อให้เสร็จสรรพเพื่อรักษา และจะได้ให้ยาทั้งหลาย ทั้งยาฆ่าเชื้อและวัคซีนบาดทะยัก โดยก็จะใช้เครื่องมือดันเปิดทาง แต่จะมีเครื่องวัดขนาดภายในมดลูก และมีการตรวจทิศทางของมดลูกเพื่อจะได้ใส่เครื่องมือได้ถูก จากนั้นก็จะค่อยๆขูดโดยใช้วิธีที่ถูกต้องเพื่อให้ได้เนื้อออกมาให้ครบถ้วนที่สุดเพื่อเลือดจะได้หยุดไหล นอกจากนี้ยังมีวิธีทำแท้งโดยใช้การฉีดยาหรือสารบางอย่างเข้าไป เช่นฉีดน้ำเกลือเข้าไปรอบๆทารกให้ทารกขาดน้ำตาย หรือฉีดสารพิษให้ทารก แต่การทำแท้งวิธีนี้เสี่ยงต่อแม่มาก เพราะหลายครั้งผู้ทำแท้งก็ฉีดมั่วจนตายทั้งแม่ทั้งลูก ปัจจุบันก็เลยเจอลดลง

2. เหน็บยา
วิธียอดฮิตที่มีที่มาจากการที่พบว่ายารักษาโรคกระเพาะตัวนึงเมื่อกินเข้าไปทำให้แท้งได้บ่อย และต่อมาก็พบว่ายานี้ออกฤทธิ์ที่มดลูกได้ ต่อมาก็มีคนเอามาใช้เพื่อการทำแท้ง และต่อมาอีกก็นำมาใช้ในการเร่งคลอดให้ปากมดลูกเปิดได้เร็วขึ้น

ปัญหาที่ทำให้หมอไม่ชอบใช้ยานี้ทำแท้งอย่างถูกกฎหมาย มีดังนี้คือท้องอ่อนๆ หมอชอบทำแท้งให้เพราะอันตรายน้อยกว่าและเด็กยังเล็ก แต่ยานี้ใช้ไม่ค่อยได้ผลมดลูกไม่หดปากมดลูกไม่เปิดท้องมากๆ หมอไม่ชอบทำแท้ง แต่ยาดันใช้ได้ผลดีขึ้น เด็กไหลดีนัก แต่หมอจะฝันร้าย เพราะว่าเด็กที่หลุดออกมาจะยังมีชีวิต ดิ้นได้ และจะดิ้นอย่างสุดฤทธิ์ก่อนตาย บางคนดิ้นเป็นชั่วโมง


ยาตัวนี้เป็นที่นิยมในหมู่ผู้รับทำแท้งและคนขายยานอกคอก เนื่องจากขายในราคาเม็ดละ700-1400บาท เวลาใช้มักขายทีละสองเม็ด โดยที่ต้นทุนไม่ถึง10บาท กำไรเหนาะๆ และไม่ต้องเสี่ยงถูกจับเท่าเปิดร้าน หลายครั้งที่มีคนมาด้วยเรื่องตกเลือด พอตรวจไปก็เจอว่ามียาที่ยังละลายไม่หมดเหน็บอยู่ (แต่เจ้าตัวก็ยังปฏิเสธว่านั่นน่ะยาเหน็บแก้เชื้อรา..)

ข้อเสียนอกจากเด็กตายแบบดิ้นๆ ยังมีอีกคือ Amniotic pulmonary embolism ซึ่งเป็นภาวะอันเกิดจากการที่มดลูกบีบรัดแรงแล้วทำให้น้ำคร่ำไหลเข้ากระแสเลือด แล้วไปอุดตันที่ปอดของแม่จนแม่ขาดอากาศตาย ซึ่งภาวะนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้วแม้คลอดปกติ และช่วยเหลือยากมากแม้อยู่ในมือหมอ  ข่าวดังๆที่หาว่าหมอทำคลอดไม่ดีแล้วแม่ตาย ก็มีส่วนมาจากอันนี้เหมือนกัน นี่ขนาดบางคนอยู่ในโรงเรียนแพทย์และมีหมอสิบกว่าคนยื้อชีวิตยังเอาไม่อยู่ ถ้าเกิดใครไปเหน็บยาตัวนี้เข้าแล้วเกิด Amniotic pulmonary embolism ขึ้นล่ะ รอดยากครับ ก็คงตายเงียบๆในบ้าน

3. กินยา
วิธีสุดคลาสสิก เห็นในหนังไทยที่คุณหญิงย่าบังคับให้นางอิจฉาเอายาขับเลือดกรอกปากนางเอก กรอกเสร็จแล้วจะเกิดอาการปวดท้องแล้วก็มีเลือดไหลออกทางหว่างขา

4. เหยียบ เตะ เข่า ศอก นวด
วิธีที่อ้างว่าได้ผล....
คงได้ผลกันบ้างแลกกับการเจ็บตัวพอสมควรของแม่เด็ก เป็นวิธีที่ไม่เคยได้ประสบหรือเจอใครที่เอาตัวเข้าแลกขนาดนั้น... เห็นแต่ในหนัง ที่กลิ้งตกบันไดแล้วเลือดออก
แต่เรื่องที่ยืนยันว่าเข่าและเท้าเอาเด็กออกได้ก็มี เป็นเรื่องของครอบครัวนึง แม่ตั้งท้องแฝด ตั้งท้องได้ 7-8 เดือน พ่อก็ทะเลาะกับแม่แล้วเตะต่อยท้อง....... จนแม่ปวดมาก และเมื่อทนไม่ไหวก็ไปโรงพยาบาลชุมชนขนาด 30 เตียง แล้วเด็กก็เริ่มคลอดแบบทันที ที่ไปถึง โดยที่หมอยังไม่ทันตั้งตัว เด็กออกมาได้ 1 คน แต่อีกคนคาอยู่ออกยาก และในที่สุดเด็กออกมาก็แย่ทั้งคู่เนื่องจากคลอดก่อนกำหนดและคนน้องก็แย่เพราะขาดอากาศ
เรื่องนี้ พ่อเด็กเอาเรื่องหมอ หาว่าหมอฝีมือแย่ทำให้ลูกเขาแย่หายใจไม่ได้........ เอาเรื่องไปลงหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น... จนที่สุดหมอต้องจ่ายเงินให้ไปหลายแสนทั้งที่ไม่ผิด

((( บาปกรรม จากการทำแท้ง )))

.......ในสังคมปัจจุบัน ปัญหาการทำแท้งส่วนใหญ่พบในกลุ่มวัยรุ่นกำลังเรียน หรือพนักงานโรงงานต่างๆ สถิติการทำแท้งนับวันมีจำนวนสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ ในขณะเดียวกันก็พบคลีนิคทำแท้งผิดกฎหมายทุกจังหวัด โดยเฉพาะในเขตโรงงานหรือสถาบันการศึกษา ยิ่งไปกว่านั้นบางประเทศเปิดโอกาสให้มีการทำแท้งเสรี เพราะรัฐบาลคิดว่าเป็นทางแก้ปัญหา เข้าใจว่าเป็นสิทธิ์ของผู้เป็นแม่ที่จะเลือกเอาเด็กไว้หรือไม่ก็ได้ หารู้ไม่เป็นบาปกรรมอย่างหนัก เพราะเป็นการฆ่ามนุษย์

ต้นเหตุของปัญหาอาจมาจากหนุ่มสาวรักกัน บางครั้งถึงขั้นพลาดพลั้งเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมาในขณะที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่มีความพร้อม บางทีชายก็แนะหญิงให้ทำแท้ง หญิงก็เห็นดีเห็นงามไปด้วย อาจเป็นเพราะความไม่พร้อม หรือเกรงจะสร้างปัญหา เนื่องจากตนเองยังเรียนไม่จบ ผลสุดท้ายต้องไปทำแท้งเอาเด็กออก หรือบางกรณีหมอวินิจฉัยว่าลูกในท้องเกิดมาต้องพิการก็ไปทำแท้งอีกเช่นกัน เพราะเกรงจะเป็นปัญหา เป็นภาระของตัวเองในอนาคต

ในความเป็นจริง การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ถือว่าได้เกิดในสุคติภูมิที่เกิดขึ้นได้ยาก ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า หากจะเปรียบเทียบจำนวนของผู้ที่ไปเกิดในทุคติ เช่น ไปเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย หรือสัตว์เดรัจฉาน กับจำนวนผู้ที่มาเกิดในสุคติภูมิ เช่น โลกมนุษย์ สวรรค์ หรือ พรหมโลกแล้วละก็ จำนวนผู้ที่มาเกิดในสุคติภูมินี้น้อยนิดเหลือเกิน ไม่ถึงแม้ส่วนเสี้ยวของจำนวนผู้ที่ไปเกิดในทุคติ เหมือนฝุ่นในเล็บมือไม่อาจเปรียบเทียบกับแผ่นดินทั้งโลกนี้ได้ฉะนั้น

อีกประการหนึ่งคือ การจะเกิดมาเป็นมนุษย์ได้ ต้องอาศัยกายของบิดาและมารดาเป็นแดนเกิด ซึ่งจะต้องประกอบธาตุส่วนหยาบ เพื่อให้กายละเอียดของผู้มีบุญพอที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้เกิดมาสร้างบารมี สร้างความดีต่อไป ทารกน้อยผู้กำลังจะเกิดมา ควรจะมีสิทธิ์ในชีวิตของตนเอง แต่พ่อกับแม่บางรายกลับไม่อนุญาต ไปเอาเขาออกก่อนกำหนด


การทำแท้ง หรือการยุติตั้งครรภ์เป็นปัญหา ทั้งทางสังคม ทางการแพทย์ และทางกฎหมายที่มีความละเอียดอ่อน และหลากหลายในประเด็นต่างๆ ที่ยังเป็นที่ถกเถียงกันในวงการต่างๆ อยู่อย่างต่อเนื่อง. ล่าสุดได้มีข่าวใหญ่ที่ได้มีการจับกุมแพทย์คนหนึ่งสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการทำแท้งที่คลินิกส่วนตัว ซึ่งทันทีที่มีการจับกุม แพทยสภาก็ได้ดำเนินการตรวจสอบ และพิจารณาในเรื่องจริยธรรมของแพทย์ ดังกล่าวทันที.

การทำแท้งนั้นสามารถกระทำได้โดยถูกกฎหมาย ในบางกรณีตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งบัญญัติไว้ดังนี้

มาตรา 301
หญิงใดทำให้ตนเองแท้งลูกหรือ ยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 302
ผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นยินยอมต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้หญิงรับอันตรายสาหัสอย่างอื่นด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้หญิงถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองหมื่นบาท

มาตรา 305
ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าว ในมาตรา 301 และมาตรา 302 นั้น เป็นการกระทำของนายแพทย์และ
(1) จำเป็นต้องกระทำเนื่องจากสุขภาพของ หญิงนั้น หรือ
(2) หญิงมีครรภ์เนื่องจากการกระทำความผิดอาญาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 276 มาตรา 277 มาตรา 282 มาตรา 283 หรือมาตรา 284
ผู้กระทำไม่มีความผิด

ขณะนี้มีร่างแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 305 ที่เสนอโดยกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งกำลังรอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรอยู่ โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติมให้แพทย์สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้เพิ่มจากเดิมอีก โดยได้บัญญัติให้ชัดเจนว่า สามารถกระทำได้เพื่อสุขภาพจิตของมารดา และ เพื่อสุขภาพของทารกในครรภ์ด้วยซึ่งเป็นกรณีที่หลายๆฝ่ายเห็นว่า ควรได้รับการยกเว้นให้กระทำได้ เพราะเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วย ซึ่งเป็นหญิงที่ตั้งครรภ์แล้วมีปัญหา แต่ขณะที่กำลังรอร่างกฎหมายฉบับนี้อยู่ แพทยสภาก็ได้มีข้อบังคับของแพทยสภาในเรื่องการยุติการตั้งครรภ์ ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา แล้วดังนี้
 
ข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วย
หลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับการยุติการตั้งครรภ์ทางการแพทย์
ตามมาตรา 305 แห่งประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2548

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 21 (3) (ฎ) และด้วยความเห็นชอบของสภานายกพิเศษตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 50 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คณะกรรมการแพทยสภาออกข้อบังคับ ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ข้อบังคับนี้เรียกว่า "ข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับการยุติการตั้งครรภ์ทางการแพทย์ตามมาตรา 305 แห่งประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2548"Ž

ข้อ 2 ข้อบังคับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

ข้อ 3
การยุติการตั้งครรภ์ทางการแพทย์ตามมาตรา 305 แห่งประมวลกฎหมายอาญานั้น จะกระทำได้เมื่อหญิงตั้งครรภ์นั้นยินยอม

ข้อ 4
แพทย์ผู้กระทำการยุติการตั้งครรภ์ทางการแพทย์ตามข้อบังคับนี้ต้องเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามกฎหมาย

ข้อ 5 การยุติการตั้งครรภ์ทางการแพทย์ตามมาตรา 305 (1) แห่งประมวลกฎหมายอาญา ให้เป็นไปตามเงื่อนไขดังนี้
(1) เป็นกรณีที่จำเป็นต้องกระทำเนื่องจากปัญหาสุขภาพทางกายของหญิงตั้งครรภ์ หรือ
(2) เป็นกรณีที่จำเป็นต้องกระทำเนื่องจากปัญหาสุขภาพทางจิตของหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งจะต้องได้รับการรับรอง หรือเห็นชอบจากผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่มิใช่ผู้กระทำการยุติการตั้งครรภ์ อย่างน้อยหนึ่งคน

ในกรณีที่หญิงนั้นมีความเครียดอย่างรุนแรง เนื่องจากพบว่าทารกในครรภ์ มีหรือมีความเสี่ยงสูงที่จะมีความพิการอย่างรุนแรง หรือเป็นหรือมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคพันธุกรรมอย่างรุนแรง เมื่อหญิงนั้นได้รับการตรวจวินิจฉัยและการปรึกษาแนะนำทางพันธุศาสตร์ (Genetic counseling) และมีการลงนามรับรองในเรื่องดังกล่าวข้างต้นโดยผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่มิใช่ผู้กระทำการยุติการตั้งครรภ์อย่างน้อยหนึ่งคน ให้ถือว่าหญิงตั้งครรภ์นั้นมีปัญหาสุขภาพจิตตาม (2)
ทั้งนี้ต้องมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ที่ชัดเจนว่าหญิงนั้นมีปัญหาสุขภาพทางกายหรือทางจิต และต้องมีการบันทึกการตรวจและวินิจฉัยโรคไว้ในเวชระเบียนเพื่อเป็นหลักฐาน

ข้อ 6 การยุติการตั้งครรภ์ทางการแพทย์ตามมาตรา 305 (2) แห่งประมวลกฎหมายอาญานั้น ต้องมีหลักฐานหรือข้อเท็จจริงอันควรเชื่อได้ว่า หญิงตั้งครรภ์เนื่องจากการกระทำความผิดอาญาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 305 (2) แห่งประมวลกฎหมายอาญา

ข้อ 7
การยุติการตั้งครรภ์ทางการแพทย์ตามข้อ 5 และข้อ 6 ต้องกระทำในสถานพยาบาลดังต่อไปนี้
(1) โรงพยาบาลหรือหน่วยงานของรัฐที่ให้บริการรับผู้ป่วยไว้ค้างคืน หรือสถานพยาบาลเวชกรรมที่มีเตียงรับผู้ป่วยไว้ค้างคืนตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล ทั้งนี้โดยสามารถปฏิบัติเกี่ยวกับการยุติการตั้งครรภ์ทางการแพทย์ได้ตามความเหมาะสม
(2) คลินิกเวชกรรมตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล โดยสามารถปฏิบัติเกี่ยวกับการยุติการตั้งครรภ์ทางการแพทย์ที่อายุครรภ์ไม่เกินสิบสองสัปดาห์

ข้อ 8
ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่ปฏิบัติเกี่ยวกับการยุติการตั้งครรภ์ทางการแพทย์ตามข้อบังคับนี้จะต้องทำรายงานเสนอต่อแพทยสภา ตามเงื่อนไขและระยะเวลาในแบบฟอร์มที่แพทยสภากำหนด

ข้อ 9
ในกรณีที่ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้กระทำการยุติการตั้งครรภ์ทางการแพทย์ไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับนี้ ให้ถือว่าผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้นั้นประกอบวิชาชีพเวชกรรมโดยไม่รักษามาตรฐานในระดับที่ดีที่สุด

ข้อ 10
ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่ปฏิบัติเกี่ยวกับการยุติการตั้งครรภ์ทางการแพทย์ตามข้อบังคับนี้ ให้ถือว่าได้กระทำตามมาตรา 305 แห่งประมวลกฎหมายอาญา

ผลจากการปราบคลินิกทำแท้ง : ความจริงที่สังคมไม่ยอมรับ
         ปัญหาการทำแท้งเถื่อนยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญลำดับต้นๆ ของสังคมไทยเสมอมา เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว คอลัมน์นี้ได้เขียนเรื่องการทะลายคลินิกทำแท้งเถื่อนไปแล้ว ยังไม่ทันจะครบปีดี ก็มีเหตุให้ต้องมาเขียนประเด็นการทำแท้งซ้ำอีกครั้ง เมื่อมีการจับกุม พ.ต.อ.น.พ.สมชัย ตรีมธุรกุล ที่คลินิกแห่งหนึ่งใน อ.หาดใหญ่ ผลของการปราบปรามลักษณะนี้ทำให้สังคมออกมาชี้หน้าผู้หญิงว่าเป็นแม่ใจยักษ์ ประนามหมอว่าใจบาปและเห็นแก่เงิน แต่จะมีสักกี่คนที่หยุดคิดสักนิด และมองปัญหาให้รอบด้านสมกับที่ภาคภูมิใจว่าตนกำลังใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอุดมปัญญา
         คอลัมน์นี้จึงขอเสริมสร้างปัญญามากกว่าเพิ่มปัญหาด้วยการนำเสนอข้อมูลที่รอบด้านในประเด็นการทำแท้งจากหนังสือ สุขภาพคนไทย 2551 ที่จัดทำโดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) บทความเรื่อง ถึงเวลาต้องป้องกันและแก้ไขปัญหาทำแท้งเถื่อนให้ได้ผลในหนังสือเล่มนี้ ได้ให้ข้อมูลสภาพปัญหา ข้อค้นพบจากงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง แนวทางแก้ไขปัญหาอย่างรอบด้านเอาไว้ด้วย
         บทความดังกล่าวระบุว่าเริ่มมีการใช้กฎหมายอาญาเมื่อปี 2500 ส่วนมาตราที่เกี่ยวข้องกับการทำแท้งมี 5 มาตรา คือ มาตรา 301-303, 304 และ 305 ซึ่งมาตรา 305 ระบุว่าถ้าการทำแท้งนั้นทำโดยแพทย์และจำเป็นต้องกระทำเนื่องจาก “(1) สุขภาพของหญิงนั้น หรือ (2) หญิงมีครรภ์เนื่องจากการกระทำความผิดอาญาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 276 มาตรา 277 มาตรา 282 มาตรา 283 หรือมาตรา 284 ผู้กระทำไม่มีความผิดการระบุเช่นนี้ มีปัญหาอย่างมากในการตีความและการปฏิบัติ แพทย์ส่วนใหญ่จึงตีความกฎหมายอย่างแคบที่สุดเพื่อไม่ให้ตนเองถูกตั้งข้อกล่าวหา หรือพูดให้เข้าใจได้ง่ายๆ ว่าพยายามปฏิเสธที่จะให้บริการทำแท้งไว้ก่อน
         อย่างไรก็ตาม ได้มีแพทย์และนักวิชาการที่ใกล้ชิดกับปัญหาหรือพูดได้ว่าเป็นตัวจริงเสียงจริงที่ตามแก้ปัญหาการทำแท้งเถื่อนและการบาดเจ็บล้มตายของผู้หญิง ร่วมกันผลักดันการออก ข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับการยุติการตั้งครรภ์ทางการแพทย์ตามาตรา 305 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อ 15 ธันวาคม 2548 โดยข้อบังคับแพทยสภานี้ได้ขยายคำนิยามของคำว่า สุขภาพให้ครอบคลุมถึงสุขภาพจิตด้วย นับเป็นการมอง สุขภาพอย่างเป็นองค์รวม และสอดคล้องกับสภาพปัญหา
         สาระของข้อบังคับนี้กำหนดว่าการยุติการตั้งครรภ์นั้นกระทำได้เมื่อหญิงนั้นยินยอมในกรณีต่างๆ ดังนี้ หนึ่ง หญิงมีครรภ์มีปัญหาสุขภาพทางกาย สอง หญิงมีครรภ์มีปัญหาสุขภาพจิต สาม หญิงมีครรภ์มีความเครียดอย่างรุนแรง ทารกในครรภ์มีความเสี่ยงที่จะพิการหรือเป็นโรคพันธุกรรมรุนแรงให้ถือว่าหญิงนั้นมีปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งต้องได้รับการรับรองจากแพทย์ที่มิใช่ผู้ทำการยุติการตั้งครรภ์อย่างน้อยหนึ่งคน และต้องมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ที่ชัดเจน และมีการบันทึกการตรวจและวินิจฉัยโรคไว้ในเวชระเบียนเพื่อเป็นหลักฐาน สาม เมื่อทารกในครรภ์มีความพิการรุนแรง และ 4 กรณีที่ถูกข่มขืนซึ่งเพียงมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการมีครรภ์นั้นเกิดจากการข่มขืน ไม่จำเป็นต้องมีใบแจ้งความ ที่สำคัญข้อบังคับแพทยสภานี้ยังระบุชัดด้วยว่าผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่ปฏิบัติเกี่ยวกับการยุติการตั้งครรภ์ทางการแพทย์ตามข้อบังคับนี้ให้ถือว่าได้กระทำตามมาตรา 305 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
         จากการศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้านจึงมีการเสนอแนวทางแก้ปัญหาการทำแท้งเถื่อนและผลกระทบของปัญหาไว้ สุขภาพคนไทย 2551 ดังนี้ หนึ่ง ลดจำนวนการตั้งท้องที่ไม่พร้อม โดยให้การศึกษาเรื่องเพศวิถีที่รอบด้านแก่เยาวชนทั้งผู้ชายและผู้หญิง ขยายกลุ่มเป้าหมายของบริการคุมกำเนิดและวางแผนครอบครัวให้ครอบคลุมคนทุกวัย รวมทั้ง ผู้ที่ไม่ได้แต่งงานด้วย ทั้งนี้ เพราะปัญหาการตั้งท้องโดยไม่พร้อมของสังคมไทยนั้น มีสาเหตุสำคัญมาจากความไร้ประสิทธิภาพในการให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาแก่ประชาชนทุกกลุ่มอายุ และการไม่สามารถให้บริการด้านการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพแก่ประชาชนได้อย่างทั่วถึง
         สอง ลดจำนวนคนที่บาดเจ็บและตายจากบริการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย โดยยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 301-305 เพราะสถิติจากกระทรวงสาธารณสุขชี้ว่า 50 ปีที่ผ่านมาของการมีกฎหมายห้ามทำแท้ง ไม่ได้ทำให้การลักลอบทำแท้งลดลง ยังคงมีผู้ป่วยด้วยภาวะแทรกซ้อนจากการทำแท้งผิดกฎหมายเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลของรัฐปีละหลายหมื่นคน คิดเป็นค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยคนละ 20,000 บาท หรือไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาทต่อปี ยิ่งกว่านั้น งานวิจัยขององค์การอนามัยและสถาบันกัทแมเชอร์ (Guttmacher Institute) ยังระบุชัดเจนว่าประเทศยุโรปตะวันตกมีอัตราการทำแท้งต่ำที่สุด ทั้งๆ ที่การทำแท้งในประเทศเหล่านี้เป็นเรื่องถูกกฎหมายและมีเงื่อนไขน้อยมาก
         ส่วนประเทศที่การทำแท้งเป็นเรื่องถูกกฎหมายและมีบริการที่ได้มาตรฐานและทั่วถึง จะมีผู้บาดเจ็บจากการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยต่ำมาก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ประเทศแอฟริกาใต้และเนปาล โดยเมื่อแอฟริกาใต้แก้ไขกฎหมายให้การทำแท้งถูกกฎหมายเมื่อปี 2539 ตัวเลขผู้ป่วยจากการทำแท้งไม่ปลอดภัยในปี 2543 ลดลงกว่าครึ่งเมื่อเทียบกับปี 2538 ส่วนเนปาลซึ่งเคยมีตัวเลขผู้หญิงที่เสียชีวิตจากการทำแท้งไม่ปลอดภัยติดอันดับต้นๆ ของโลก ตัวเลขกลับลดลงอย่างมากหลังจากการแก้กฎหมายในปี 2545 และข้อมูลเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สภายุโรป ซึ่งประกอบด้วยประเทศสมาชิกในยุโรป 47 ประเทศ รับรองข้อมติเมื่อ 16 เมษายน 2551ให้การทำแท้งเป็นสิ่งถูกกฎหมาย และสามารถทำได้ภายใต้เงื่อนไขที่ยืดหยุ่นและเหมาะสม และต้องมีการจัดบริการทำแท้งที่ปลอดภัยให้ผู้หญิงเข้าถึงได้

         ข้อมูลที่นำเสนอมาทั้งหมดนี้ เพียงเพื่อต้องการให้สังคมหยุดคิดสักนิด ค้นคว้าข้อมูลสักหน่อย ก่อนออกมาตัดสินโยนความเลวให้กับผู้หญิงที่ไปทำแท้ง หรือประนามแพทย์ที่ให้บริการทำแท้งอย่างปลอดภัยและได้มาตรฐาน หากเจ้าหน้าที่บ้านเมืองยังไม่เปิดใจรับข้อบังคับแพทยสภา ก็คงต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าการจับกุมแพทย์ที่ให้บริการทำแท้งสามารถลดจำนวนการทำแท้งได้จริง หาไม่แล้ว สิ่งที่กระทำลงไปจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ตามมา นั่นคือ แพทย์ที่ยินยอมทำแท้งให้ผู้หญิงที่ประสบปัญหาจะลดน้อยลงหรืออาจไม่มีหลงเหลืออยู่เลย สถานการณ์เช่นนี้จะกดดันให้ผู้หญิงต้องหันไปพึ่งบริการหมอ

7 ความคิดเห็น:

  1. ถ้าคุณอายุครรภ์น้อยกว่า 9 สัปดาห์ ต้องการยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย ขอให้ติดต่อ womenhelp.org

    ตอบลบ
  2. อย่าทำแท้งเลยนะ ให่เด็กได้ออกมาลืมตาดูโลกเถอะ
    พวกเขาไม่ได้มีความผิดอะไร

    ตอบลบ
  3. ถ้าคุณปล่อยให้เด็กออกมาลืมตาดูโลก และเลี้ยงดูเขา ดีกว่า
    เป็นทางออก ที่ดีกว่าการทำแท้งนะ มากเลยอะ

    ตอบลบ
  4. "ถ้าคุณจำเป็นต้องทำแท้ง มีอายุครรภ์ต่ำกว่า 9 สัปดาห์ ติดต่อ info@womenhelp.org "

    ตอบลบ
  5. "ถ้าคุณจำเป็นต้องทำแท้ง มีอายุครรภ์ต่ำกว่า 9 สัปดาห์ ติดต่อ info@womenhelp.org"

    ตอบลบ
  6. "ถ้าคุณจำเป็นต้องทำแท้ง มีอายุครรภ์ต่ำกว่า 9 สัปดาห์ ติดต่อ info@womenhelp.org"

    ตอบลบ
  7. "ถ้าคุณจำเป็นต้องทำแท้ง มีอายุครรภ์ต่ำกว่า 9 สัปดาห์ ติดต่อ info@womenhelp.org"

    ตอบลบ